โภชนาการที่เหมาะกับแมวป่วยด้วยโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายสัตว์อย่างมาก การ...
เผยแพร่แล้ว 20/11/2021
สามารถอ่านได้ใน Français , Deutsch , Italiano , Português , Română , Español และ English
ภาวะดีซ่าน (jaundice) ในแมวไม่ได้เป็นเพียงแค่การวินิจฉัยโรคแต่เป็นจุดเริ่มต้นที่สัตวแพทย์จะต้องหาสาเหตุการเกิดที่ซ่อนอยู่ สัตวแพทย์ Craig Webb ได้อธิบายถึงวิธีการวินิจฉัยและการรักษาเมื่อพบกรณีดังกล่าว (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
แมวที่ป่วยด้วยโรคท่อน้ำดีอักเสบ มักถูกพามาหาสัตวแพทย์ด้วยอาการหลักคือไม่สบาย
อาการป่วยที่แมวแสดงออกอาจไม่จำเพาะเจาะจงกับ cholangitis
สีเหลืองที่ตรวจพบในภาวะดีซ่านไม่ใช่คำวินิจฉัย
ท่อน้ำดีอักเสบในแมวคือแรงผลักดันในการค้นพบ feline triaditis
Dr. Sharon Center ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและสรุปไว้เมื่อปี 1996 เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะตัวของระบบตับและท่อน้ำดีของแมวมีใจความว่าแมวสามารถเกิด cholangitis และ cholangiohepatitis ได้ง่ายกว่าในสุนัขโดยมีปัจจัยที่เป็นสาเหตุ 1 Dr. Center ได้ทำการรวบรวม วิเคราะห์และอ้างอิงถึงกรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างแมวที่ตรวจพบ suppurative cholangitis และ chronic lymphocytic cholangitis ในช่วงปี 1980 2 3 และพบการรายงานถึงแมวที่มีลักษณะดีซ่านจำนวน 47 ตัว ในช่วงปี 1977 4 เธอคาดว่ากรณีทั้งหมดนี้การเชื่อมโยงกับ feline triaditis โดยทิ้งท้ายว่าถึงแม้จะไม่ได้มีการตรวจวินิจฉัย inflammatory bowel disease และ pancreatitis อย่างละเอียดในแมวป่วยทุกตัว แต่อาการทั้งหมดมีความเกี่ยวเนื่องกันกับ cholangitis
ในปี 1996 ได้มีการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นแรกที่ทำการเปรียบเทียบเชิงปริมาณถึงความสัมพันธ์ระหว่างแมวที่ป่วยด้วยโรค inflammatory hepatic disease inflammatory bowel disease (IBD) pancreatitis และ nephritis ที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่ม triaditis 5 งานวิจัยนี้ถือเป็นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและเป็นผลของความพยายามที่จะเข้าใจโรคตับในแมว หรือที่เรียกในตอนนั้นว่า feline cholangiohepatitis complex หรือ feline cholangitis/cholangiohepatitis 6 มีงานวิจัยทางคลินิกที่พยายามอธิบายลักษณะของ feline inflammatory/lymphocytic liver disease โดยการใช้อัลตราซาวด์ immunohistochemistry และอาการทางคลินิก 7 8 9 ทั้งยังมีการกล่าวถึงเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่ Bartonella Enterococcus และ Helicobacter รวมถึงการติดเชื้อจากทางเดินอาหารย้อนขึ้นไปในลูกแมวอีกด้วย 10 11 12 13
World Small Animal Veterinary Association Liver Standardization Group ได้ทำการนิยามคำศัพท์ต่างๆ เกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวกับตับและระบบทางเดินน้ำดีในแมว รวมถึงลักษณะของโรคเพื่อเป็นแนวทางแก่สัตวแพทย์ 14 ถึงแม้เราจะมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆเพิ่มขึ้น แต่พื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับโรคจะอยู่ในบทความที่อ้างอิงถึง 1 และบทความที่เขียนโดย Dr. Center
สัตวแพทย์พบแมวป่วยถูกนำมาที่สถานพยาบาลสัตว์ อาการที่แสดงออกอาจเป็นอาเจียน ถ่ายเหลว เบื่ออาหาร/ไม่กินอาหารเลย น้ำหนักลด หลีกเลี่ยงคน คลอเคลียมากกว่าปกติ ส่งเสียงร้อง แสดงอาการเจ็บ น้ำลายไหล หรือแค่อาจดูโทรม สาเหตุที่อาการมีความรุนแรงและแตกต่างกันมาก เป็นเพราะการแสดงออกของแมว และแมวมักไปหาสัตวแพทย์ด้วยปัญหามากกว่า 1 อย่าง ถึงแม้ว่า feline triaditis จะเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แมวแสดงอาการที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ยังมีสาเหตุอีกมากมายที่เกี่ยวกับ cholangitis ได้แก่ IBD pancreatitis chronic bacterial infection รวมถึง pyelonephritis การติดเชื้อพยาธิตัวแบน toxoplasmosis septicemia นิ่วในถุงน้ำดี extrahepatic biliary obstruction (EHBO) และ เนื้องอก 1 กระบวนการวินิจฉัยเป็นขั้นตอนที่ยาวนาน ข้อมูลสำคัญจากช่วงที่ทำการซักประวัติและตรวจร่างกายจะช่วยได้มาก ได้แก่
Primary IMHA |
---|
โรคติดเชื้อ
|
เนื้องอก
|
กระบวนการอักเสบ
|
อื่นๆ
|
Anatomic |
---|
Intraluminal
|
Extraluminal
|
Functional/inflammatory |
Pancreatitis/pancreatic abscess
Cholangitis
Cholecystitis
Duodenitis
Gallbladder dysmotility
|
หลังจากที่พิจารณาและทำการตัดสาเหตุของภาวะ hyperbilirubinemia หรือดีซ่านที่มาจาก pre และ post hepatic ได้หมดแล้ว เราจึงมุ่งไปที่การวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตับ
ถึงแม้ว่าภาวะ hepatic lipidosis จะเป็นสาเหตุที่ทำให้แมวเป็นดีซ่านได้บ่อย (รูป 1) แต่ว่าไม่ได้อยู่ในเนื้อหาของบทความนี้ซึ่งรวมถึง reactive hepatopathy เนื้องอก ความผิดปกติของหลอดเลือด ท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรังจากพยาธิใบไม้ในตับ (Platynosomum concinnum – หรือที่รู้จักกันในชื่อ P. fastosum) 15 จะไม่ถูกกล่าวถึงเช่นกัน บทความนี้จะกล่าวถึงโรคที่เกี่ยวกับกระบวนการอักเสบของตับซึ่ง WSAVA จัดไว้ว่าพบได้บ่อยที่สุด 16 ได้แก่ neutrophilic cholangitis (ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง) และ lymphocytic cholangitis โดยการใช้กรณีตัวอย่างในการระบุลักษณะสำคัญของแต่ละโรคและเน้นการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม
แมวป่วยเพศผู้ อายุ 11 ปี พันธุ์ Norwegian Forest Cat มาด้วยประวัติอาเจียนและท้องเสียนาน 3 เดือน มีความอยากอาหารลดลงเล็กน้อย น้ำหนักลด เจ้าของสังเกตเห็นปลายหูมีสีเหลืองจาง (รูป 2) อาการอื่นไม่เด่นชัด แมวยังร่าเริงและตอบสนองดี การตรวจร่างกายพบว่าแมวมีภาวะดีซ่านและตับโต
แมวที่ป่วยเป็นแมวพันธุ์ Norwegian Forest Cat และเข้ารักษาที่สถานพยาบาลสัตว์ในยุโรปซึ่งเป็นข้อสังเกตที่สำคัญ จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่าโรคตับในแมวที่พบบ่อยมากที่สุดโดยจากลักษณะจุลพยาธิวิทยา คือ neutrophilic cholangitis (ร้อยละ 20.5) และ lymphocytic cholangitis (ร้อยละ 6.8) 17 ในอีกรายงานนึ่งจากประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่าแมว 2 ใน 14 ตัวที่ป่วยด้วย lymphocytic cholangitis เป็นแมวพันธุ์ Norwegian Forest Cat 18 ซึ่งสอดคล้องกับผลการผ่าซากแมว 3 จาก 44 ตัวที่โรงพยาบาลสัตว์ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Pennsylvania ได้ผลการวินิจฉัยว่าเป็น lymphocytic cholangitis 20
แมวตัวนี้เป็นแมวที่อายุมาก แต่โรคตับอักเสบในแมวสามารถพบได้ในช่วงอายุที่หลากหลาย กรณีนี้อาการของโรคอยู่ในระยะเรื้อรังและมีการลุกลามมากขึ้น ถึงแม้ว่าแมวจะยังไม่อ่อนแรง เบื่ออาหาร หรือมีไข้ ลักษณะที่พบนี้เพิ่มความเป็นไปได้ที่แมวมีโอกาสเป็น lymphocytic cholangitis ระยะเวลาและลักษณะของโรคที่แมวแสดงออกไม่ได้เป็นลักษณะจำเพาะของ lymphocytic cholangitis โดยแมวที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจพบ ascites และ body condition score ที่ต่ำ แต่แมวที่ป่วยด้วยโรค neutrophilic cholangitis มักไม่แสดงอาการที่ดูปกติแบบในแมวตัวนี้
ผลการตรวจ complete blood count อาจไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด แต่แมวบางตัวอาจพบภาวะ lymphocytosis อย่างชัดเจนร่วมกับโลหิตจางเล็กน้อย ในกรณีเรื้อรัง ค่าเอนไซม์ตับและ total bilirubin จะสูงขึ้นแบบเล็กน้อยจนถึงปานกลางแต่เมื่อค่า total bilirubin สูงจนแมวแสดงภาวะดีซ่าน ไม่มีความจำเป็นต้องใช้การตรวจ bile acids test เพราะผลที่ได้จะไม่ปกติ ผลตรวจ FeLV/FIV จะออกมาเป็นลบ และ clotting time อาจนานขึ้น ผลตรวจทางชีวเคมีที่เด่นชัดที่สุดคือ ภาวะ hyperglobulinemia (มีปริมาณ gamma globulin สูงขึ้นอย่างมากหากตรวจด้วยวิธี protein electrophoresis) หากมีน้ำในช่องท้องจะพบว่ามีปริมาณโปรตีน globulin และเซลล์อักเสบสูง
การทำอัลตราซาวด์ช่องท้องเป็นสิ่งที่ควรใช้ในการวินิจฉัยกรณีนี้ สิ่งสำคัญคือจะไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจนบริเวณถุงและท่อน้ำดี
การเจาะตรวจเซลล์ด้วยวิธี FNA(fine needle aspiration) เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำซึ่งสามารถทำได้แต่ต้องแจ้งเจ้าของสัตว์ให้ทราบว่าผลที่ได้อาจไม่ชัดเจน หากการตรวจอัลตราซาวด์พบว่าผนังถุงน้ำดีและด้านในถุงน้ำดีดูปกติ การเจาะตรวจน้ำดีก็อาจไม่พบความผิดปกติเช่นกัน (โปรดดูกรณีถัดไป)
Craig B. Webb
การตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉันยืนยัน การตรวจทางจุลพยาธิวิทยาสามารถแยกแยะ lymphoma FIP ออกจาก lymphocytic cholangitis ได้ ข้อดีอีกอย่างของการตัดชิ้นเนื้อตับคือสามารถเก็บตัวอย่างลำไส้และตับอ่อนไปตรวจด้วยได้ การที่สามารถวินิจฉัยโรคอื่นที่เกิดพร้อมกับ cholangitis มีส่วนทำให้การรักษา cholangitis สำเร็จมากขึ้น
หลังจากที่ได้ข้อสรุปว่าแมวป่วยด้วยโรค lymphocytic cholangitis ไม่ว่าจากผลตรวจทางจุลพยาธิวิทยา (รูป 3 ) หรือการตรวจร่างกายร่วมกับอาการอื่นที่พบร่วมกัน การรักษาจะแบ่งออกเป็นการรักษาแบบพยุงอาการและ การรักษาสาเหตุที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิ การรักษาพยุงอาการประกอบด้วยการให้ วิตามิน K1 (5 mg/ ตัว SC q24h) หลายครั้งเพื่อช่วยในการแข็งตัวของเลือดก่อนที่จะทำการเจาะ FNA ตับ หรือก่อนใส่ esophageal feeding tube และ ursodeoxycholic acid (10-15 mg/kg PO q24h 2-3 เดือน) ยาตัวนี้ใช้ในการขับน้ำดีออกจากท่อน้ำดีและเป็นประโยชน์แก่ตับที่กำลังมีปัญหา 21
การให้ยาปฏิชีวนะอาจไม่จำเป็นในกรณีที่เป็นการอักเสบที่เกิดจากการแทรกซึมของ lymphocyte ที่ถูกกระตุ้นโดยภูมิคุ้มกัน ถึงแม้ว่าสาเหตุแรกเริ่มอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแต่เมื่อมาถึงสัตวแพทย์ร่างกายสามารถคุมการติดเชื้อได้แล้ว อย่างไรก็ตาม สัตวแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมต่อการติดเชื้อทั้งแบบ aerobe และ anaerobe ในทางเดินอาหาร เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ ในช่วงแรกของการรักษาซึ่งแบคทีเรียอาจพบได้แต่ไม่ใช่สาเหตุของโรคแต่เป็นการติดเชื้อซึ่งเป็นผลจากโรคภูมิคุ้มกัน 19
การใส่ esophageal feeding tube แนะนำให้ทำระยะแรกเพื่อเป็นการแก้ไขกรณีแมวที่ไม่กินอาหาร (รูป 4 ) อีกทั้งยังเป็นวิธีที่เจ้าของสัตว์สามารถให้อาหารและยาได้เองที่บ้าน ที่โรงพยาบาลของผู้เขียนบทความเลือกใช้ esophagostomy feeding tube และ tunneler ขนาด 14 Fr ของ MILA International, Inc.1
1 www.milainternational.com; www.youtube.com/watch?v=qF14Jfajkhw&t=89s
การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงของ lymphocytic cholangitis คือการใช้สเตียรอยด์ ตัวเลือกที่นิยมคือ prednisolone โดยสัตวแพทย์บางคนอาจเริ่มที่ขนาดสูงถึง 4 mg/kg/วัน บางคนเริ่มที่ขนาดประมาณ 2 mg/kg/วัน แล้วค่อยๆลดขนาดลงในช่วงเวลา 3 เดือน
อาการทางคลินิก สีของเยื่อเมือก และค่าเอนไซม์ตับรวมถึงค่า total bilirubin คือสิ่งที่ใช้ประเมินการตอบสนองต่อการรักษา
แมวป่วยอายุ 6 ปี พันธุ์ Domestic longhair ที่พบได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพศผู้ ทำหมันแล้ว มาด้วยอาการ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนแรงมาประมาณ 4 วัน การตรวจร่างกายพบภาวะดีซ่าน มีไข้ ขาดน้ำ (รูป 5) เจ็บบริเวณช่องท้องเมื่อคลำตรวจ น้ำลายไหลมาก ค่าทางชีวเคมีพบ hyperbilirubinemia hyperglobulinemia ค่า ALT สูงขึ้นปานกลางค่อนข้างมาก ค่า ALP ค่อนข้างแกว่ง และความผิดปกติอื่นซึ่งไม่จำเพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับภาวะขาดน้ำ ความเครียด ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (ภาวะ hyperglycemia) และความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ ตรวจค่า CBC พบ anemia lymphopenia leukocytosis และ neutrophilia left shift ซึ่งไม่พบในกรณีตัวอย่างที 1
ข้อแตกต่างระหว่างแมวตัวนี้กับแมวตัวแรกที่เป็นสายพันธุ์ exotic breed คือประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้สายพันธุ์แมวที่มีความหลากหลายทางภูมิภาคมากนัก แมวตัวนี้จัดเป็นแมวโตเต็มวัยที่อายุน้อยกว่าในกรณีแรก อาการป่วยที่แสดงออกโดยรวมคล้ายคลึงกัน แต่ที่แตกต่างกันคือช่วงเวลาของการป่วยและความรุนแรงที่มากกว่า ตรวจพบภาวะไข้ inflammatory leukogram และค่าชีวเคมีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าทำให้โรคที่น่าสงสัยคือ neutrophilic cholangitis การที่แมวแสดงอาการเจ็บปวดที่บริเวณท้อง อาจเป็นผลมาจากการอักเสบแบบเฉียบพลัน การติดเชื้อ การขยายขนาดของตับ หรืออาจเกิดจากภาวะตับอ่อนอักเสบซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้แสดงอาการแบบนี้ โรคอื่นได้แก่ IBD extrahepatic biliary obstruction (EHBO) cholecystitis และcholelithiasis มีความเป็นไปได้สูงที่แมวตัวนี้จะพบความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดที่จำเป็นต้องได้รับวิตามิน K1 การตรวจ total bile acid จะไม่มีประโยชน์หากแมวเริ่มแสดงภาวะดีซ่าน ควรตรวจ fPLI และ ระดับ cobalamin จาก fasting serum
Craig B. Webb
การทำอัลตราซาวด์ช่องท้องจะมีความสำคัญมากทั้งช่วยในการวินิจฉัยและเก็บตัวอย่าง (รูป 6) ภาพอัลตราซาวด์จะแสดงให้เห็นถึงตับอ่อน ความหนาและโครงสร้างของผนังลำไส้เล็กซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัย feline triaditis ลักษณะของเนื้อตับอาจจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด จุดที่จะพบการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดและใช้ในการวินิจฉัยคือถุงน้ำดี แมวที่เป็น neutrophilic cholangitis อาจพบผนังถุงน้ำดีที่หนาตัวและมีลักษณะที่แปลกไปหรือมีการเรียงตัวแบบ palisade (รูป 7) 22 ภายในถุงน้ำดีอาจพบ sludge (รูป 8) หรือ นิ่วในถุงน้ำดี (cholelithiasis) สัตวแพทย์ยังต้องตรวจตามท่อน้ำดีไปจนถึงจุดเปิดเข้าลำไส้เล็กเพื่อตัดข้อสงสัยเกี่ยวกับ EHBO เพราะการอุดตันของท่อน้ำดีพบได้ในแมว บางตัวอาจพบ ascites ที่ต้องเจาะดูดออกและตรวจ fluid analysis
การเจาะดูดน้ำดีเพื่อการตรวจ cytology และเพาะเชื้อด้วยวิธี ultrasound-guided percutaneous cholecystocentesis เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยและรักษา (รูป9 ) 23 เมื่อตรวจพบว่าว่ามีผนังถุงน้ำดีหนาตัวมากกว่า 1 mm มี sludge ซึ่งเห็นเป็น hyperechoic content หรือมีลักษณะโครงสร้างที่ผิดไปจากปกติหรือมีลักษณะ palisade (รูป 10) 22 24 อย่างไรก็ตามการเจาะดูดถุงน้ำดีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดถุงน้ำดีแตกหรือน้ำดีรั่วเข้าไปในช่องท้อง ก่อให้เกิดภาวะช่องท้องอักเสบ (peritonitis) หากไม่ได้ปฏิบัติโดยสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ หากพบว่าผนังถุงน้ำดีมีลักษณะ emphysematous จากภาพอัลตราซาวด์ ความเสี่ยงของการเจาะดูดจะยิ่งสูงขึ้นไปอีกจึงควรพิจารณาใช้วิธีผ่าตัดทางศัลยกรรมหรือข้ามไปทดลองรักษา
สิ่งที่เจาะดูดออกมาได้อาจมีลักษณะทั่วไปดูปกติหรืออาจเป็น purulent exudate การตรวจ cytology จะพบ neutrophil จำนวนมากที่อยู่ในหลาย stage (normal to degenerate) โดยอาจพบแบคทีเรียในเซลล์หรือไม่ก็ได้ 25 แบคทีเรียที่จะพบได้มากที่สุดจากการเพาะชื้อคือ E. coli รองลงมาคือ Enterococcus, Streptococcus, Klebsiella, Actinomyces, Clostridium, Bacteroides, Pseudomonas, Staphylococcus, และสายพันธุ์ Pasteurella species, และ Salmonella enterica serovar Typhimurium
การทำ FNA จะมีความเสี่ยงต่ออันตรายน้อยกว่าแต่มักจะได้ผลที่ไม่แน่นอน ที่โรงพยาบาลสัตว์ของผู้เขียนบทความจะไม่ค่อยตรวจจุลพยาธิวิทยาตับโดยการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อตับ ถึงแม้ว่าจะทำ abdominal laparoscopy ในแมวเหล่านั้นแล้วทำการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อตับ ตับอ่อน และเจาะดูดน้ำดีระหว่างกระบวนการนี้ การตรวจจุลพยาธิวิทยาอาจจะช่วยให้ได้การวินิจฉัยเพิ่มเติมและยืนยันโรคอื่นๆที่เกิดร่วมกัน แต่การทำ cholecystocentesis จะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยและการรักษาโดยตรงมากที่สุด
แมวที่ป่วยด้วย neutrophilic cholangitis มักมีอาการที่ไม่ค่อยดีซึ่งควรเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลโดยการรักษาแบบพยุงอาการ (การให้สารน้ำ การให้ยาลดความเจ็บปวด ปรับโภชนาการ) การให้ยาทางหลอดเลือดดำเช่นยาปฏิชีวนะและยาต้านอาเจียน
ผลการเพาะเชื้อแบคทีเรียและความไวต่อยาปฏิชีวนะจากการทำ cholecystocentesis จะเป็นแนวทางสำคัญในการเลือกใช้ยาให้เหมาะสม การใช้ผล cytology ย้อม gram stain จะช่วยในการเลือกยาปฏิชีวนะระหว่างรอผลเพาะเชื้อ หากจำเป็นต้องเลือกยาปฏิชีวนะโดยไม่มีผลการเพาะเชื้อหรือ cytology ประกอบการตัดสินใจ ให้เลือกยาที่ออกฤทธิ์ต้าน E. coli และครอบคลุมเชื้ออื่นในทางเดินอาหารโดยเฉพาะกลุ่มanaerobes เช่นยา clavimox metronidazole และpradofloxacin ระยะเวลาการให้ยาอาจยาว 4-6 สัปดาห์ หรือ 3-6 เดือนตัดสินจากอาการทางคลินิก และค่าเอนไซม์ตับหลังจากการให้ยาไประยะหนึ่งแล้ว
หาก neutrophilia cholangitis เข้าสู่ระยะเรื้อรังอาจโน้มนำให้เกิด lymphocytic cholangitis ได้โดยสาเหตุหลักดั้งเดิมคือการติดเชื้อแต่เป็นผลนำไปสู่การตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่มากเกิน กรณีเหล่านี้อาจต้องได้รับยา prednisolone หลังจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไประยะหนึ่งแล้ว
การให้วิตามินเค1 ursodeoxycholic acid แบบกรณีที่ 1 ร่วมกับสารที่ออกฤทธิ์บำรุงตับอย่าง S- adenosylmethionine และ cobalamin เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ควรคำนึงถึงความสำคัญในการรักษาโรคอื่นๆในแมวที่เกิดร่วมกันอยู่ด้วย
neutrophilic cholangitis ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังเป็นการอักเสบของตับที่พบได้บ่อยที่สุดของแมวทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ในขณะที่ lymphocytic cholangitis มักจะเกิดในแมวที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกามากกว่าเช่น Norwegian Forest Cat และ Persian ทั้งสองกรณีมักมีโรคอื่นเกิดร่วมอยู่ด้วยและนำไปสู่การเสียชีวิตของแมว แมวเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนสัตวแพทย์ว่าไม่ว่าจะเป็น diabetic ketoacidosis hepatic lipidosis หรือ cholangitis อาจไม่ตรงกับแนวคิด “Diagnostic Parsimony of Occam’s Razor” หรือแนวคิดที่ว่าต้องพยายามหาการวินิจฉัยโรคเพียงหนึ่งเดียวสำหรับอาการทางคลินิกหลายๆอาการที่เกิดขึ้นในแมวหนึ่งตัว แทนที่จะพยายามการวินิจฉัยหลายๆเรื่องสำหรับแต่ละอาการที่แสดงออก แต่ควรหันมายอมรับ “Hickam’s Dictum” ที่กล่าวว่าคน/สัตว์ป่วยจะสามารถป่วยด้วยกี่โรคก็ได้เท่าที่สามารถเกิดได้
Boland L, Beatty J. Feline cholangitis. Vet Clin North Am Small Anim Pract 2017;47:703-724.
Craig B. Webb
Craig Webb is currently Professor of Small Animal Medicine and Interim Hospital Director at CSU. Qualifying from the University of Wisconsin-Madison อ่านเพิ่มเติม
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายสัตว์อย่างมาก การ...
โรคตับอ่อนทำงานบกพร่องในสุนัขเป็นโรคที่ทำให้สภาพร่างกายทรุดโทรมและมักไม่ได้รับการวินิจฉัยในสุนัข...
โรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นโรคที่พบได้บ่อยในสุนัขและอาจะถูกมองข้าม..
การพบเพิ่มขึ้นของค่าเอนไซม์ตับในการคัดกรองด้านชีวเคมีสามารถพบเจอได้เป็นประจำ...